วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ธุรกิจปาล์มน้ำมันหลังก้าวเข้าสู่ AEC


ธุรกิจปาล์มน้ำมันหลังก้าวเข้าสู่ AEC

ปาล์มน้ำมัน เป็นพืชที่มีความสำคัญต่อประเทศ ทั้งในแง่เศรษฐกิจ รวมถึงการช่วยสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร และด้านพลังงานของ ประเทศ ปัจจุบัน แม้ว่าไทยจะสามารถผลิตน้ำมันปาล์มได้เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศในด้านต่างๆ แต่จากโครงสร้างการผลิตที่ส่วนใหญ่จะเป็นเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย ทำให้การผลิตน้ำมันปาล์มของไทยมีต้นทุนที่สูงกว่าประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ อย่างมาเลเซียและอินโดนีเซีย ซึ่งนับว่าเป็นจุดอ่อนสำคัญที่จะมีผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มไทย หากไทยก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอัตราภาษีนำเข้าน้ำมันปาล์มของไทยจะลดลงเหลือร้อยละ 0 ตั้งแต่ปี 2553 แต่ปัจจุบันไทยยังคงมีมาตรการควบคุมการนำเข้านำมันปาล์ม โดยกำหนดให้น้ำมันปาล์มเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตนำเข้า เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในประเทศ ซึ่งจะช่วยชะลอผลกระทบ และยังคงมีระยะเวลาให้ผู้ประกอบการไทยปรับตัวเพื่อลดต้นทุน เพิ่มศักยภาพในการผลิตน้ำมันปาล์มให้สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ในอาเซียนได้ภายหลังจากที่ก้าวเข้าสู่ AEC ในปี 2558



อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทย
ปาล์มน้ำมัน นับว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ปัจจุบัน ไทยมีจำนวนเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันมากกว่า 1.28 แสนครัวเรือน มีพื้นที่เพาะปลูก และพื้นที่ให้ผลผลิตประมาณ 4.28 และ 3.98 ล้านไร่ ตามลำดับ สามารถผลิตน้ำมันปาล์มดิบได้ปีละ 1.9 ล้านตัน ซึ่งช่วยสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรประมาณ 6 หมื่นล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ การผลิตน้ำมันปาล์มดิบของไทยในปี 2555 มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 5-7 จากปีก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากที่ภาครัฐได้มีการดำเนินยุทธศาสตร์ปาล์มน้ำมันในช่วงปี 2551-2555 เพื่อเร่งผลัก ดันให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมัน เพิ่มผลผลิต และผลิตภาพการผลิตน้ำมันปาล์มดิบเพื่อรองรับกับยุทธศาสตร์พลังงานทดแทน และลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นต่อความมั่นคงทาง ด้านอาหารของประเทศ ประกอบกับราคาผลปาล์มดิบในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเดิมที่มีราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 4 บาทในปี 2552 ปรับขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 6 บาทในปี 2555 จึงเป็นแรงจูงใจที่ทำให้เกษตรกรขยายพื้นที่การเพาะปลูก

ส่วนทางด้านของปริมาณผลผลิตน้ำมันปาล์มในประเทศ ส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 80 ผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการใช้ภายในประเทศ โดยการใช้น้ำมัน ปาล์มสามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ
     • ใช้เพื่อการบริโภค (ร้อยละ 60) ทั้งในรูปแบบของน้ำมันพืชที่ใช้ในการประกอบอาหาร และใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหารต่างๆ เช่น ขนมขบเคี้ยว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นมข้นหวาน ครีมและเนยเทียม ทั้งนี้ น้ำมันปาล์มนับว่าเป็นน้ำมันพืชที่มีการใช้บริโภคมากที่สุดในประเทศ คิดเป็นร้อยละ 65 ของมูลค่าตลาดน้ำมันพืชทั้งหมด เนื่องจากน้ำมันปาล์มมีราคาที่ค่อนข้างถูกหากเทียบกับน้ำมันพืชประเภทอื่น ประกอบกับคุณสมบัติที่เหมาะในการประกอบอาหารประเภททอด และไม่ทำให้อาหารมีกลิ่นหืน จึงทำให้คนส่วนใหญ่นิยมเลือกบริโภคน้ำมันปาล์ม

     • ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลังงานทดแทน ที่เรียกว่าไบโอดีเซล (ร้อยละ 28) เพื่อช่วยลดการใช้น้ำมันดีเซล เพิ่มความมั่นคงทางด้านพลังงานให้กับประเทศ อีกทั้งยังจะช่วยลดปัญหาผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา สัดส่วนการใช้น้ำมันปาล์มในภาคพลังงานมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น จากร้อยละ 21 ในปี 2551 เพิ่มเป็นร้อยละ 28 ในปี 2554 และสำหรับในปี 2555 คาดว่าการใช้น้ำมันปาล์มในภาคพลังงานจะยังคงมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 35-40 ของการใช้น้ำมันปาล์มทั้งหมด
     • ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ (ร้อยละ 13) เช่น สบู่ ผงซักฟอก เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ต่างๆ และอาหารสัตว์

     สำหรับสถานการณ์ของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในปี 2555 แม้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรจะมีการคาดการณ์ว่าน้ำมันปาล์มดิบที่ผลิตได้จะมีปริมาณ มากกว่า 1.9 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5-7 แต่ในช่วง 8 เดือนแรกที่ผ่านมา ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคยังคงเผชิญปัญหาน้ำมันพืชบรรจุขวดที่วางจำหน่ายไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคในบางช่วง โดยมีสาเหตุหลักมาจากความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการใช้ผลิตพลังงานทดแทน ประกอบกับปริมาณผลผลิตปาล์มในช่วงที่ผ่าน มาออกสู่ตลาดน้อยลงกว่าช่วงปกติ เพราะเป็นช่วงนอกฤดูกาลผลิตและประสบปัญหาสภาพอากาศร้อนแล้งเมื่อช่วงต้นปี นอกจากนี้ ปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นในทวีปอเมริกา (สหรัฐฯ บราซิล อาร์เจนตินา) กดดันให้ราคาน้ำมันพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันปาล์มในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจูงใจให้การส่งออกน้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ในช่วง 6 เดือนแรก ของปี 2555 ปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 364 และร้อยละ 92.3 ตามลำดับ


     จากปัญหาน้ำมันพืชขาดตลาดที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุญาตการนำเข้าน้ำมันปาล์มปริมาณ 4 หมื่นตัน สำหรับใช้ในการผลิตน้ำมัน ปาล์มบรรจุขวด เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาน้ำมันปาล์มขาดตลาดและชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวดที่กำหนดเพดานไว้ที่ 42 บาทต่อขวด (1 ลิตร) ในขณะที่ทางกรมพัฒนาธุรกิจ พลังงานต้องประกาศปรับลดสัดส่วนในการผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ บี 100 ในการผลิตไบโอดีเซล เหลือร้อยละ 3.5-5 ต่อน้ำมันดีเซล 1 ลิตร (จากเดิมร้อยละ 4.5-5) เพื่อลดการใช้น้ำมันปาล์มดิบ ในการผลิตพลังงานทดแทน และมีปริมาณเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ อย่างไรก็ตาม สำหรับปริมาณการผลิตน้ำมันปาล์มที่ออกสู่ตลาดในระยะถัดไป ยังคงต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงต่างๆ คือ ความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ แนวโน้มราคาพืชน้ำมันและน้ำมันพืชในตลาดโลก ยังคงเผชิญปัญหาภัยแล้งในทวีปอเมริกา รวมถึงมาตรการนโยบายภาครัฐต่างๆ เช่น การส่งเสริมการผลิต และการใช้พลังงานทดแทน (ไบโอดีเซล) และมาตรการชะลอการปรับขึ้นของค่าครองชีพและราคาสินค้า ซึ่งรวมไปถึงการควบคุมราคาจำหน่ายปลีกน้ำมันพืชบรรจุขวดขนาด 1 ลิตร


ผลกระทบจากการก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ต่ออุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทย
อาเซียนเป็นแหล่งผลิตน้ำมันปาล์มหลักของโลก ซึ่งมีประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย เป็นประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ โดยผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบที่ผลิตได้ในปี 2555 มีปริมาณประมาณ 27 ล้านตัน และ 18 ล้านตัน1 หรือมีปริมาณผลผลิตรวมกันกว่าร้อยละ 87 ของปริมาณผลผลิตน้ำมันปาล์มทั้งหมด ส่วนประเทศไทยเป็นผู้ผลิตที่สำคัญอันดับสาม แต่ปริมาณน้ำมันปาล์มดิบที่ผลิตได้น้อยมากหากเทียบกับประเทศอินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยที่ไทยผลิตน้ำมันปาล์มดิบได้ประมาณ 1.9 ล้านตัน2 หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 3.3 ของปริมาณผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบทั้งหมด ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ปริมาณน้ำมันปาล์มดิบที่ไทยผลิตได้ส่วนใหญ่มีปริมาณเพียงพอต่อการบริโภค และการใช้เพื่อการผลิตพลังงานทดแทน ยกเว้น บางปีที่เผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากสภาพอากาศ จนทำให้ไทยต้องนำเข้าน้ำมันปาล์มเพื่อใช้ในการบริโภค

     สำหรับการเปิดเสรีสินค้าน้ำมันปาล์มภายใต้กรอบอาเซียน แม้ว่าไทยจะทยอยปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าน้ำมันปาล์มให้แก่ประเทศสมาชิกอาเซียนจนเหลือ ร้อยละ 0 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 แต่ปัจจุบันการนำเข้าน้ำมันปาล์มของไทย ยังคงต้องมีการขออนุญาตนำเข้า (Import license) และจะได้รับอนุญาตให้นำเข้าได้ตามความเหมาะสมของ สถานการณ์3 อย่างไรก็ตาม การก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 ประเทศสมาชิกอาเซียน รวมทั้งไทย ต้องทยอยปรับลด/เลิกมาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษีต่างๆ เพื่อให้สินค้าและบริการมีการเคลื่อนย้ายอย่างเสรี ซึ่งข้อผูกพันดังกล่าว สร้างความกังวลอย่างมากต่อเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจน้ำมันปาล์ม เนื่องจากการผลิตน้ำมันปาล์มของไทยยังมีจุดอ่อนทางด้านศักยภาพการผลิต หากเทียบกับผู้ผลิตรายใหญ่อย่างเช่น อินโดนีเซีย และมาเลเซีย กล่าวคือ


• การเพาะปลูกปาล์มน้ำมันของไทยยังคงได้ปริมาณผลผลิตค่อนข้างต่ำ ประมาณ 14.47 ตัน/เฮกเตอร์ ในขณะที่อินโดนีเซียและมาเลเซีย ได้ผลผลิต ประมาณ 16.76 และ 21.90 ตัน/เฮกเตอร์

     • อัตราการให้น้ำมันของผลผลิตปาล์มน้ำมันของไทยประมาณร้อยละ 15.7 ในขณะที่อินโดนีเซียและมาเลเซีย มีอัตราที่สูงถึงร้อยละ 22 และ 19.4 ตามลำดับ

     สาเหตุสำคัญที่ทำให้การผลิตปาล์มน้ำมันของประเทศผู้ผลิตทั้งสองมีศักยภาพการผลิตที่สูงกว่าไทย มาจากทั้งสองมีพื้นที่การเพาะปลูกปาล์มที่มี ขนาดใหญ่ มีการปลูกปาล์มน้ำมันแบบครบวงจรทำให้สามารถวางแผนการผลิตและควบคุมต้นทุนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาเลเซีย ซึ่งมีศักยภาพการผลิตสูงสุด การเพาะปลูกปาล์มน้ำมันส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ของเกษตรกรรายใหญ่ (ร้อยละ 60) และผู้ผลิตปาล์มในรูปแบบสหกรณ์หรือนิคมกว่าร้อยละ 30.5 ส่วนที่เหลือเพียงร้อยละ 9.5 เป็นเกษตรกรรายย่อย ที่ มีพื้นที่การเพาะปลูกประมาณ 250 ไร่ต่อราย ซึ่งแตกต่างกับเกษตรกรรายย่อยของไทยที่มีจำนวนมากถึงร้อยละ 60 และมีพื้นที่เพาะปลูกไม่เกินรายละ 25 ไร่ นอกจากนี้ โรงสกัดและบีบน้ำมัน ของมาเลเซียและอินโดนีเซีย เป็นโรงงานขนาดใหญ่ที่มีกำลังการผลิตมาก และยังมีการสกัดน้ำมันแยกระหว่างเนื้อปาล์มและเนื้อในเมล็ดปาล์ม (palm Kernel) ซึ่งจะช่วยให้อัตราการให้น้ำมันมีมากขึ้นกว่าการสกัดรวมผลปาล์มน้ำมันทั้งผล


ทั้งนี้ จุดอ่อนทางด้านศักยภาพการผลิตปาล์มน้ำมันของไทย ส่งผลให้ไทยมีต้นทุนการผลิตน้ำมันปาล์ม และราคาน้ำมันปาล์มสูงกว่า หากเทียบกับ ราคาของมาเลเซียที่เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก โดยราคาเฉลี่ยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2553 – 2555) น้ำมันปาล์มดิบของไทยสูงกว่าราคาของมาเลเซียประมาณร้อยละ 8 และ ราคาน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ของไทยสูงกว่ามาเลเซียถึงร้อยละ 14.3 ดังนั้น หากในอนาคตภายหลังจากที่ไทยก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และจำเป็นต้องลด/ยกเลิกข้อจำกัดที่ไม่ ใช่ภาษี ในเรื่องของการขออนุญาตนำเข้าน้ำมันปาล์ม อาจส่งผลให้น้ำมันปาล์มจากมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่มีข้อได้เปรียบทางด้านราคา มีการนำเข้ามาในประเทศ และมาแข่งขันกับน้ำมัน ปาล์มในประเทศมากขึ้น ถ้าหากเป็นเช่นนี้ อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ อาจจะได้รับผลกระทบ ดังต่อไปนี้

ด้านผู้ผลิต
เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน  เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันที่เป็นลูกไร่ของโรงสกัดและโรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าเกษตรกรผู้ปลูกน้ำมันปาล์มอิสระ เนื่องจากผลปาล์มน้ำมันที่ผลิตได้มีตลาดรองรับที่แน่นอน

โรงสกัดน้ำมันปาล์มดิบ อาจเผชิญการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรงจากน้ำมันปาล์มดิบที่นำเข้าจากมาเลเซียและอินโดนีเซีย ทั้งนี้ โรงสกัดที่อาจได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ โรงสกัดที่ไม่ได้เป็นบริษัทเครือข่าย หรือไม่ได้ เป็นพันธมิตรกับโรงงานกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโรงสกัดรายย่อยขนาดเล็กที่มีกำลังการผลิตไม่มาก และมีต้นทุนในการสกัดสูงกว่าโรงสกัดขนาดใหญ่

โรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์  อาจมีทางเลือกมากขึ้น ในการจัดหาวัตถุดิบในการผลิตที่มีราคาถูกจากการนำเข้า ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของน้ำมันปาล์มดิบ หรือน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ เพื่อใช้ผลิตน้ำมันปาล์มสำหรับการบริโภค และการใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ ขณะเดียวกัน อาจเผชิญการแข่งขันกับน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์นำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อจำหน่ายให้กับผู้บริโภคหรืออุตสาหกรรมต่อเนื่องโดยตรง ทั้งนี้ น้ำมันปาล์มบรรจุขวดที่ใช้บริโภคในภาคครัวเรือนอาจจะได้รับผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ที่นำเข้ามาจากมาเลเซียและอินโดนีเซียมีสีค่อนข้างแดงและขุ่น แต่ผู้บริโภคไทย นิยมเลือกใช้น้ำมันปาล์มที่มีสีเหลืองใส

ด้านผู้บริโภค
อุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้น้ำมันปาล์ม อุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้น้ำมันปาล์มในประเทศ ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหาร รวมถึงการผลิตไบโอดีเซล จะได้รับประโยชน์จากการนำเข้าน้ำมันปาล์ม รวมถึงการปรับตัวเพื่อเพิ่มศักยภาพใน การผลิตของโรงสกัดและโรงกลั่นน้ำมันปาล์มในประเทศ ซึ่งจะช่วยทำให้ต้นทุนการใช้น้ำมันปาล์มในอุตสาหกรรมลดลง

ผู้บริโภคในประเทศ จะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มราคาน้ำมันปาล์มในประเทศที่ลดลง จากการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการในและต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้น้ำมันปาล์มบรรจุขวด สินค้าที่ใช้น้ำมันปาล์ม รวมถึงไบโอดีเซล มีราคาลดลง นอกจากนี้ กรณีที่ผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ การนำเข้าจะเป็นทางหนึ่งที่ช่วยลดปัญหาน้ำมันปาล์มขาดแคลนในประเทศได้

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบภายหลังจากการก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น จะมีผลกระทบมากหรือน้อยเพียง ใดนั้น ขึ้นอยู่กับตัวแปรสำคัญต่างๆ ได้แก่ แนวโน้มความต้องการบริโภคน้ำมันปาล์มในตลาดโลก สถานการณ์การผลิตน้ำมันปาล์มของประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ อย่างมาเลเซียและอินโดนีเซีย ทั้งนี้ หากความต้องการบริโภคมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หรือปริมาณผลผลิตน้ำมันปาล์มที่ออกสู่ตลาดโลกน้อยลง จะผลักดันให้ราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้ส่วนต่างราคา น้ำมันปาล์มในประเทศและต่างประเทศลดลง หรือใกล้เคียงกัน จนส่งผลให้ความต้องการนำเข้าน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศลดลง


แนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการเพื่อรองรับผลกระทบจาก AEC
จากผลกระทบที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้น ทำให้เกษตรกร และผู้ประกอบการในธุรกิจน้ำมันปาล์มจำเป็นต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตน้ำมันปาล์ม ของไทยทั้งระบบ ตั้งแต่ในระดับเกษตรกรผู้ปลูก โรงสกัดและโรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ โดยเน้นการลดต้นทุน และเพิ่มปริมาณผลผลิตที่ได้จากการผลิต เพื่อให้ราคาจำหน่ายสามารถแข่งขันได้กับน้ำมันปาล์มน้ำเข้า ดังนี้

     • เกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม ควรให้ความสำคัญกับการปรับปรุงการเพาะปลูก เพื่อให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูง เช่น การเลือกพื้นที่เพาะปลูกที่เหมาะสมทั้งทาง ด้านภูมิประเทศ (ใกล้แหล่งน้ำ สภาพดินร่วนปนดินเหนียว) และสภาพภูมิอากาศ (อากาศชุ่มชื้น มีฝนตกชุก มีช่วงฤดูแล้งสั้น มีอุณหภูมิประมาณ 25-30 องศาเซลเซียส) รวมถึงการคัดเลือกพันธุ์ ในการเพาะปลูกที่มีอัตราการให้น้ำมันสูง การศึกษาระยะเวลาในการใส่ปุ๋ยและประเภทของปุ๋ยที่ใส่ในแต่ละช่วงอายุของต้นปาล์ม การตัดแต่งทางใบ ตลอดจน การวางแผนเพาะปลูกปาล์มน้ำมันทดแทนต้นเก่าที่มีอายุมากซึ่งจะให้ปริมาณผลผลิตลดลง

     • โรงสกัดน้ำมันปาล์มดิบ ควรเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพในการรวบรวมวัตถุดิบ (ผลปาล์มน้ำมัน) และการสกัดน้ำมันปาล์มเพื่อให้อัตราการให้น้ำมัน เพิ่มขึ้น โดยอาจพัฒนาการสกัดน้ำมันแยกระหว่างเนื้อในปาล์มและเนื้อปาล์ม สำหรับโรงสกัดที่มีขนาดใหญ่อาจหาแนวทางในการลดต้นทุนการผลิต โดยการนำของเศษปาล์มที่เหลือ จากกระบวนการสกัด (by product) เช่น กะลาปาล์ม ทะลายปาล์ม เส้นใยปาล์ม ไปผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ในโรงงาน อีกทั้งยังเป็นการลดต้นทุนในการกำจัดเศษวัสดุเหลือใช้ของปาล์มอีกด้วย

     • โรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ นอกจากที่ผู้ประกอบการควรจะเพิ่มประสิทธิภาพในการกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์แล้ว ควรเน้นการบริหารจัดด้านการขนส่งสินค้า (น้ำมันปาล์ม) ไปยังคลังสินค้าของผู้ค้าปลีกรายใหญ่และโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำมันปาล์มในการผลิต เพื่อลดต้นทุนในการขนส่ง ซึ่งปัจจุบันนับว่ามีต้นทุนในส่วนนี้สูงถึงประมาณ ร้อยละ 20

     นอกจากนี้ กลุ่มผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องทั้งโรงกลั่น โรงสกัด รวมถึงสมาคมและสหกรณ์การเกษตรในระดับท้องถิ่นต่างๆ ควรติดตามสถานการณ์การผลิต การจำหน่ายและราคา และความต้องการน้ำมันปาล์มในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนการผลิต การตั้งราคา และการกระจายสินค้าไปสู่ตลาด รวมถึงการศึกษา และทำความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการที่สามารถช่วยบรรเทา/ลดผลกระทบจากการเปิดการค้าเสรีการค้าสินค้าเกษตร คือ มาตรการป้องกันการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard Measure: SG) ตามข้อผูกพันไว้กับ WTO ซึ่งเปิดโอกาสให้ประเทศผู้นำเข้า (ที่ได้รับผลกระทบ) สามารถใช้มาตรการดังกล่าวเพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศที่ได้รับความเสียหาย หรือมีแนวโน้มที่จะได้ รับความเสียหายจากการนำเข้าที่เพิ่มมากขึ้นมากกว่าปกติ

     โดยสรุป ปัจจุบัน น้ำมันปาล์มเป็นหนึ่งในสินค้าเกษตรที่ไทยยังคงใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ โดยระบุให้การนำเข้าน้ำมันปาล์มจะต้องมีการขออนุญาตนำเข้า (Import License) ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ โดยในการที่ไทยจะก้าวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) หนึ่งในข้อผูกพัน จะต้องลด/ขจัดมาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษีที่ใช้ในประเทศ ซึ่งหากไทยจำเป็นต้องยกเลิกมาตรการขออนุญาตนำเข้า จะส่งผลต่ออุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มไทยค่อนข้างมาก โดยเฉพาะทางด้านของผู้ผลิต ได้แก่ เกษตรกร โรงสกัดและโรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ เนื่องจากการผลิตน้ำมันปาล์มของไทยในปัจจุบัน ยังมีจุดอ่อนทางด้านต้นทุนการผลิต ทำให้ราคาน้ำมันปาล์มในประเทศสูง กว่าประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ อย่างเช่น มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งอาจส่งผลให้น้ำมันปาล์มจากประเทศดังกล่าวเข้ามาแข่งขันกับน้ำมันปาล์มในประเทศมากขึ้น ในขณะที่ผู้บริโภคจะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการแข่งขันของผู้ผลิต ที่จะส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์ม รวมถึงสินค้าที่ใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบราคามีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตาม การเตรียมรับมือกับการก้าวเข้าสู่การเป็น AEC ในอนาคตเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับกลุ่มผู้ที่อาจได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ เกษตรกรและผู้ประกอบการควรเร่งแนวทางเพื่อลดต้นทุนการผลิต ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพื่อให้น้ำมันปาล์มไทยสามารถแข่งขันได้ในอาเซียน



วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2559

การปลูกมันฝรั่งอย่างมืออาชีพกับปุ๋ยตรามงกุฎ

การปลูกมันฝรั่งอย่างมืออาชีพ กับปุ๋ยตรามงกุฎ



ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม เป็นช่วงที่ผลผลิต มันฝรั่งออกสู่ตลาด พื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือตอนบนและบางจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยพันธุ์ที่นิยมปลูกได้แก่ พันธุ์ สปุนตา และพันธุ์แอตแลนติก ปัจจุบันหนุ่มสาวไทยสมัยใหม่ตลอดจนเด็กๆนิยมบริโภคอาหารแบบตะวันตกเพิ่มมากขึ้นทั้งอาหารประเภทเร่งด่วน และอาหารว่างประเภทขบเคี้ยว มันฝรั่งซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการรผลิตอาหารดังกล่าวจึงมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปมันฝรั่งทอดได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีความต้องการมันฝรั่ง เพื่อเป็นวัตถุดิบประมาณปีละ 124,100ตัน โดยที่ราคาขายหัวมันสดเฉลี่ยที่ตลาดขายส่ง 35 บาท/กก. มันฝรั่งจัดเป็นพืชเศรษฐกิจ ที่สำคัญในภาคเหนือให้ผลตอบแทนสูงเมื่อเปรียบเทียบกับพืชอื่นๆ หลายชนิดโดยประมาณการจะมีผลกำไรอยู่ ระหว่าง 6,000-9,000 บาทต่อไร่ แหล่งปลูกที่สำคัญอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ลำพูน และตาก ซึ่งมีผลผลิตรวมกันประมาณร้อยละ 90 ของผลผลิตทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการผลิตมันฝรั่งในจังหวัดเชียงราย สกลนครและเลย โดยสามารถปลูกมันฝรั่งได้ถึง 200,000ไร่ ร้อยละ90 เป็นการผลิตมันฝรั่งเพื่อเป็น วัตถุดิบสำหรับแปรรูปส่งโรงงาน โดยมีราคารับซื้อระหว่าง 5-13 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนการบริโภคหัวมันสด คิดเป็นร้อยละ 10 หัวพันธุ์มันฝรั่งที่ใช้ปลูกในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะนำเข้ามาจากต่างประเทศ หากเป็นพันธุ์จากประเทศในแถบยุโรป เช่นเนเธอร์แลนด์ สก๊อตแลนด์ และเยอรมัน ซึ่งจะเก็บเกี่ยวหัวพันธุ์ในเดือนสิงหาคม –กันยายน เมื่อส่งมาปลูกในไทยในช่วงเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม ซึ่งพ้นระยะพักตัวพอดี

การปลูกมันฝรั่งนั้นสามารถปลูกทั้งหัว หรือผ่าหัวพันธุ์ออกเป็นชิ้นๆ การปลูกทั้งหัวจะมีข้อดีคือจะมีอาหารสะสมที่จะช่วยเร่งการเจริญเติบโตได้ดีกว่าและผลผลิตจะสูงกว่าการปลูกด้วยหัวพันธุ์ที่ผ่าเป็นชิ้น แต่ข้อเสียคือ สิ้นเปลืองหัวพันธุ์มากอาจถึงประมาณ 400กิโลกรัมต่อไร่ แต่เมื่อผ่าหัวพันธุ์ปลูกจะใช้ประมำณ 100- 150กิโลกรัมเท่านั้น แต่การผ่าหัวพันธุ์ก็มีข้อเสียคือจะทำให้เชื้อโรคเข้าทำลายและเน่าเสียได้ง่าย มีโอกาสติดโรคจากหัวพันธุ์ที่เป็นโรคไปยังหัวพันธุ์ที่ดีโดยติดไปกับมืดที่ใช้ผ่าได้ง่าย ดังนั้นจึงควรปฏิบัติในการผ่าหัวพันธุ์มันฝรั่งดังนี้ วิธีการผ่าหัวพันธุ์ เมื่อหัวพันธุ์เริ่มแตกตาข้างพอสังเกตเห็นได้ก็พร้อมที่จะนำไปผ่าได้ควรผ่าหัวพันธุ์ก่อนปลูกอย่างน้อย 1 สัปดาห์การผ่าใช้มีดคมชุบแอลกอฮอล์หรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรคผ่ากลางหัวแบ่งครึ่งตามยาว โดยผ่าจากด้านท้ายไปด้านหัว จากนั้นตัดแบ่งเป็นชิ้นๆ ตามแนวยาว และแนวตั้งให้ 1 ชิ้น มีตาอยู่อย่างน้อย 1 ตา

หลังจากผ่าเสร็จแต่ละหัว ควรจุ่มใบมีดในแอลกอฮอล์ 70เปอร์เซ็นต์ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรคก่อนจะที่จะผ่าหัวต่อไป เพื่อป้องกันการติดโรค นำหัวพันธุ์ที่ผ่าแล้วไปแช่ยาฆ่าเชื้อรา เช่น สารละลายเมทาแล็กซิล อัตราส่วน 1 ช้อนแกง ผสม น้ำ 20ลิตร แช่นาน 5นาที แล้วนำไปผึ่งให้แห้ง จากนั้นนำไปเพาะในแปลงเพาะที่ใช้ทรายหรือขี้เถ้าแกลบเป็นวัสดุเพาะ โดยเกลี่ยทรายให้เรียบหนาประมาณ 3-5 เซนติเมตร นำหัวพันธุ์มาวางเรียงบนแปลงเพาะโดยวางส่วนตาอยู่ด้านล่างกลบด้วยทรายบางๆ หนาประมาณ 1 เซนติเมตรรดน้ำให้ชื้นอยู่เสมอระวังอย่าให้เปียกแฉะหรือน้ำขัง หลังจากชำประมาณ 1 สัปดาห์ หน่อจะงอกยาว 1-2 เซนติเมตร ก็สามารถนำไปปลูกได้

การเตรียมดินให้ไถดินลึกอย่างน้อย 20 เซนติเมตร ตากดินไว้ก่อนปลูก 10-15วัน หากดินเป็นกรดมากควรใช้โดโลไมท์หว่านให้ทั่วแปลงอัตรา 200-500กิโลกรัม/ไร่ ขึ้นอยู่กับระดับความเป็นกรดของดิน (ค่ำpH ที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 5.5-6.5) จากนั้นไถพรวนอีก 2-3ครั้ง เพื่อให้ดินร่วนซุยดีจึงยกร่องหรือยกแปลงปลูกการปลูก สามารถปลูกได้ 3วิธี คือ การปลูกแบบแถวเดี่ยวไม่ยกร่อง การปลูกแบบแถวเดี่ยวยกร่อง และการปลูกแบบ ยกแปลงปลูกแบบแถวคู่

การยกแปลงปลูกแบบแถวคู่จะยกแปลงปลูกขนาดกว้าง 1-1.2 เมตร ยาวตามพื้นที่ขุดหลุมปลูกแถวคู่บนหลังแปลงระยะระหว่างแถว 40-80 เซนติเมตร ระยะระหว่างหลุม 30-40 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ 100-200กก./ไร่ และปุ๋ยเคมี ตรามงกุฎ สูตร 15-15-15ทับทิม อัตรา 100-150กก./ไร่ รองก้นหลุมวางหัวพันธุ์ลงในหลุมแล้วกลบดินหนา 5-10 เซนติเมตร ไถกลบดินในแปลง2รอบ

เกษตรกรสามารถเลือกแบบใดแบบหนึ่งได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชำนาญ และควรพิจารณาว่าจะนำเครื่องจักรกลทุ่นแรงมาช่วยหรือไม่ สำหรับการเตรียมดินและความลึกของการปลูก มีข้อควรคำนึงถึง คือ สันร่องควรมีความกว้างค่อนข้างมาก และปลายสันร่องโค้งมนซึ่งจะช่วยทำให้หัวมันฝรั่งมีขนาดใหญ่และควรวางหัวพันธุ์ให้อยู่สูงกว่ำระดับท้องร่อง เพื่อว่ากรณีที่มีน้ำขังในร่อง หัวมันฝรั่งจะไม่แช่อยู่ในน้ำ ในการใส่ปุ๋ยนั้นแนะนำว่าควรจะใส่ทั้งปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีการใส่ปุ๋ยควรคำนึงความอุดมสมบูรณ์ของดินที่ใช้ปลูกมันฝรั่งว่ามีธาตุอาหารอยู่แล้วมากน้อยเพียงใดโดยการนำดินไปตรวจวิเคราะห์แล้วจึงพิจารณาใช้ชนิดและอัตราปุ๋ยที่เหมาะสม ตามค่าวิเคราะห์ดิน


ทั้งนี้ควรแบ่งการใส่ปุ๋ยให้มันฝรั่งเป็น 3ครั้งดังนี้
- ครั้งที่1 ใส่ปุ๋ยตรามงกุฎ สูตร 15-15-15ทับทิม อัตรา 100-150กิโลกรัม/ไร่ โดยใส่รองก้นหลุมก่อนปลูก
- ครั้งที่2 เมื่อมันฝรั่งอายุได้ 15-20วัน ใส่ปุ๋ยยูเรียอัตรา 25กิโลกรัม/ไร่ โดยใส่เป็นแถวข้างต้นพร้อมกับพูนดินกลบโคนต้นสูงประมาณ 20-25เซนติเมตร เนื่องจากหัวมันฝรั่งเกิดจากลำต้นใต้ดินที่เรียกว่า "ไหล" ซึ่งงอกออกมาจากส่วนโคนของลำต้น ตรงส่วนปลายของไหลนี้จะพองตัวออกทำหน้าที่เก็บสะสมอาหารเป็นหัวมันฝรั่งแต่ถ้าไหลนี้เกิดโผล่พ้นดินขึ้นมาก็จะเจริญเป็นลำต้นมีใบตามปกติ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพูนดินกลบโคนต้น เพื่อให้มีการลงหัวที่ดี รวมทั้งเป็นการป้องกันไม่ให้หัวมันฝรั่งถูกแสงแดด ซึ่งจะทำให้หัวเกิดสีเขียวไม่เป็นที่ต้องการของตลาดหรือโรงงาน 
- ครั้งที่3 เมื่อมันฝรั่งอายุได้ 30วัน ใส่ปุ๋ยตรามงกุฎ สูตร 13-13-21 หรือสูตร 14-7-35 อัตรา 100กิโลกรัม/ไร่ เป็นปุ๋ยที่ช่วยเร่งขยายขนาดหัวมันฝรั่ง และช่วยเพิ่มน้ำหนัก โดยใส่โรยเป็นแถวพร้อมกับพูนดินกลบโคนอีกครั้งหนึ่ง


มันฝรั่งเป็นพืชที่ต้องการน้ำสม่ำเสมอความถี่ของการให้น้ำจะผันแปรตามระยะการเจริญเติบโตของมันฝรั่ง ในระยะแรก หลังจากปลูกมันฝรั่งต้องการน้ำน้อย และจะค่อยๆเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อต้นเจริญเติบโตคลุมดินเต็มที่และต้องการปริมาณน้ำมาก จนต้นมันฝรั่งแก่ดังนั้นช่วงแรกปลูกควรให้น้ำปริมาณน้อยเพียงพอแก่การงอกเท่านั้น ถ้าน้ำมากเกินไปอาจทำให้หัวพันธุ์ที่ปลูกเน่าเสีย หลังมันฝรั่งงอกแล้วให้น้ำปริมาณมากขึ้นและสม่ำเสมอ หลังจากที่มันฝรั่งลงหัวแล้ว ถ้าได้รับน้ำไม่สม่ำเสมอจะทำให้หัวที่มีลักษณะผิดปกติ การให้น้ำโดยทั่วไปใช้วิธีปล่อยน้ำไปตามร่องให้น้ำไหลซึมไปสู่บริเวณราก เกษตรกรอาจช่วยตักรดได้ให้ดินมีความชื้นพอเหมาะไม่แห้งหรือแฉะเกินไป ทำให้ผิวไม่สวยและมีโอกาสเน่าเสียได้ง่าย เมื่อใกล้ช่วงเก็บเกี่ยวควรงดให้น้ำก่อนขุด ประมาณ 2 สัปดาห์


ติดต่อสอบถามได้ที่ คุณอรรถพล 084-4381063 หรือ คุณสรรเพ็ชญ์ 084-4381078