ปาล์มน้ำมัน เป็นพืชที่มีความสำคัญต่อประเทศ ทั้งในแง่เศรษฐกิจ รวมถึงการช่วยสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร และด้านพลังงานของ ประเทศ ปัจจุบัน แม้ว่าไทยจะสามารถผลิตน้ำมันปาล์มได้เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศในด้านต่างๆ แต่จากโครงสร้างการผลิตที่ส่วนใหญ่จะเป็นเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อย ทำให้การผลิตน้ำมันปาล์มของไทยมีต้นทุนที่สูงกว่าประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ อย่างมาเลเซียและอินโดนีเซีย ซึ่งนับว่าเป็นจุดอ่อนสำคัญที่จะมีผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มไทย หากไทยก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอัตราภาษีนำเข้าน้ำมันปาล์มของไทยจะลดลงเหลือร้อยละ 0 ตั้งแต่ปี 2553 แต่ปัจจุบันไทยยังคงมีมาตรการควบคุมการนำเข้านำมันปาล์ม โดยกำหนดให้น้ำมันปาล์มเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตนำเข้า เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในประเทศ ซึ่งจะช่วยชะลอผลกระทบ และยังคงมีระยะเวลาให้ผู้ประกอบการไทยปรับตัวเพื่อลดต้นทุน เพิ่มศักยภาพในการผลิตน้ำมันปาล์มให้สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ในอาเซียนได้ภายหลังจากที่ก้าวเข้าสู่ AEC ในปี 2558
อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทย
ปาล์มน้ำมัน นับว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ปัจจุบัน ไทยมีจำนวนเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันมากกว่า 1.28 แสนครัวเรือน มีพื้นที่เพาะปลูก และพื้นที่ให้ผลผลิตประมาณ 4.28 และ 3.98 ล้านไร่ ตามลำดับ สามารถผลิตน้ำมันปาล์มดิบได้ปีละ 1.9 ล้านตัน ซึ่งช่วยสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรประมาณ 6 หมื่นล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ การผลิตน้ำมันปาล์มดิบของไทยในปี 2555 มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 5-7 จากปีก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากที่ภาครัฐได้มีการดำเนินยุทธศาสตร์ปาล์มน้ำมันในช่วงปี 2551-2555 เพื่อเร่งผลัก ดันให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกปาล์มน้ำมัน เพิ่มผลผลิต และผลิตภาพการผลิตน้ำมันปาล์มดิบเพื่อรองรับกับยุทธศาสตร์พลังงานทดแทน และลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นต่อความมั่นคงทาง ด้านอาหารของประเทศ ประกอบกับราคาผลปาล์มดิบในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเดิมที่มีราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 4 บาทในปี 2552 ปรับขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 6 บาทในปี 2555 จึงเป็นแรงจูงใจที่ทำให้เกษตรกรขยายพื้นที่การเพาะปลูก
ส่วนทางด้านของปริมาณผลผลิตน้ำมันปาล์มในประเทศ ส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 80 ผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการใช้ภายในประเทศ โดยการใช้น้ำมัน ปาล์มสามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ
• ใช้เพื่อการบริโภค (ร้อยละ 60) ทั้งในรูปแบบของน้ำมันพืชที่ใช้ในการประกอบอาหาร และใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหารต่างๆ เช่น ขนมขบเคี้ยว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นมข้นหวาน ครีมและเนยเทียม ทั้งนี้ น้ำมันปาล์มนับว่าเป็นน้ำมันพืชที่มีการใช้บริโภคมากที่สุดในประเทศ คิดเป็นร้อยละ 65 ของมูลค่าตลาดน้ำมันพืชทั้งหมด เนื่องจากน้ำมันปาล์มมีราคาที่ค่อนข้างถูกหากเทียบกับน้ำมันพืชประเภทอื่น ประกอบกับคุณสมบัติที่เหมาะในการประกอบอาหารประเภททอด และไม่ทำให้อาหารมีกลิ่นหืน จึงทำให้คนส่วนใหญ่นิยมเลือกบริโภคน้ำมันปาล์ม
• ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลังงานทดแทน ที่เรียกว่าไบโอดีเซล (ร้อยละ 28) เพื่อช่วยลดการใช้น้ำมันดีเซล เพิ่มความมั่นคงทางด้านพลังงานให้กับประเทศ อีกทั้งยังจะช่วยลดปัญหาผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา สัดส่วนการใช้น้ำมันปาล์มในภาคพลังงานมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น จากร้อยละ 21 ในปี 2551 เพิ่มเป็นร้อยละ 28 ในปี 2554 และสำหรับในปี 2555 คาดว่าการใช้น้ำมันปาล์มในภาคพลังงานจะยังคงมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 35-40 ของการใช้น้ำมันปาล์มทั้งหมด
• ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ (ร้อยละ 13) เช่น สบู่ ผงซักฟอก เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ต่างๆ และอาหารสัตว์
สำหรับสถานการณ์ของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในปี 2555 แม้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรจะมีการคาดการณ์ว่าน้ำมันปาล์มดิบที่ผลิตได้จะมีปริมาณ มากกว่า 1.9 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5-7 แต่ในช่วง 8 เดือนแรกที่ผ่านมา ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคยังคงเผชิญปัญหาน้ำมันพืชบรรจุขวดที่วางจำหน่ายไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคในบางช่วง โดยมีสาเหตุหลักมาจากความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการใช้ผลิตพลังงานทดแทน ประกอบกับปริมาณผลผลิตปาล์มในช่วงที่ผ่าน มาออกสู่ตลาดน้อยลงกว่าช่วงปกติ เพราะเป็นช่วงนอกฤดูกาลผลิตและประสบปัญหาสภาพอากาศร้อนแล้งเมื่อช่วงต้นปี นอกจากนี้ ปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นในทวีปอเมริกา (สหรัฐฯ บราซิล อาร์เจนตินา) กดดันให้ราคาน้ำมันพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันปาล์มในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจูงใจให้การส่งออกน้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ในช่วง 6 เดือนแรก ของปี 2555 ปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 364 และร้อยละ 92.3 ตามลำดับ
จากปัญหาน้ำมันพืชขาดตลาดที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุญาตการนำเข้าน้ำมันปาล์มปริมาณ 4 หมื่นตัน สำหรับใช้ในการผลิตน้ำมัน ปาล์มบรรจุขวด เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาน้ำมันปาล์มขาดตลาดและชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวดที่กำหนดเพดานไว้ที่ 42 บาทต่อขวด (1 ลิตร) ในขณะที่ทางกรมพัฒนาธุรกิจ พลังงานต้องประกาศปรับลดสัดส่วนในการผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ บี 100 ในการผลิตไบโอดีเซล เหลือร้อยละ 3.5-5 ต่อน้ำมันดีเซล 1 ลิตร (จากเดิมร้อยละ 4.5-5) เพื่อลดการใช้น้ำมันปาล์มดิบ ในการผลิตพลังงานทดแทน และมีปริมาณเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ อย่างไรก็ตาม สำหรับปริมาณการผลิตน้ำมันปาล์มที่ออกสู่ตลาดในระยะถัดไป ยังคงต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงต่างๆ คือ ความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ แนวโน้มราคาพืชน้ำมันและน้ำมันพืชในตลาดโลก ยังคงเผชิญปัญหาภัยแล้งในทวีปอเมริกา รวมถึงมาตรการนโยบายภาครัฐต่างๆ เช่น การส่งเสริมการผลิต และการใช้พลังงานทดแทน (ไบโอดีเซล) และมาตรการชะลอการปรับขึ้นของค่าครองชีพและราคาสินค้า ซึ่งรวมไปถึงการควบคุมราคาจำหน่ายปลีกน้ำมันพืชบรรจุขวดขนาด 1 ลิตร
ผลกระทบจากการก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ต่ออุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทย
อาเซียนเป็นแหล่งผลิตน้ำมันปาล์มหลักของโลก ซึ่งมีประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย เป็นประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ โดยผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบที่ผลิตได้ในปี 2555 มีปริมาณประมาณ 27 ล้านตัน และ 18 ล้านตัน1 หรือมีปริมาณผลผลิตรวมกันกว่าร้อยละ 87 ของปริมาณผลผลิตน้ำมันปาล์มทั้งหมด ส่วนประเทศไทยเป็นผู้ผลิตที่สำคัญอันดับสาม แต่ปริมาณน้ำมันปาล์มดิบที่ผลิตได้น้อยมากหากเทียบกับประเทศอินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยที่ไทยผลิตน้ำมันปาล์มดิบได้ประมาณ 1.9 ล้านตัน2 หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 3.3 ของปริมาณผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบทั้งหมด ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ปริมาณน้ำมันปาล์มดิบที่ไทยผลิตได้ส่วนใหญ่มีปริมาณเพียงพอต่อการบริโภค และการใช้เพื่อการผลิตพลังงานทดแทน ยกเว้น บางปีที่เผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากสภาพอากาศ จนทำให้ไทยต้องนำเข้าน้ำมันปาล์มเพื่อใช้ในการบริโภค
สำหรับการเปิดเสรีสินค้าน้ำมันปาล์มภายใต้กรอบอาเซียน แม้ว่าไทยจะทยอยปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าน้ำมันปาล์มให้แก่ประเทศสมาชิกอาเซียนจนเหลือ ร้อยละ 0 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 แต่ปัจจุบันการนำเข้าน้ำมันปาล์มของไทย ยังคงต้องมีการขออนุญาตนำเข้า (Import license) และจะได้รับอนุญาตให้นำเข้าได้ตามความเหมาะสมของ สถานการณ์3 อย่างไรก็ตาม การก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 ประเทศสมาชิกอาเซียน รวมทั้งไทย ต้องทยอยปรับลด/เลิกมาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษีต่างๆ เพื่อให้สินค้าและบริการมีการเคลื่อนย้ายอย่างเสรี ซึ่งข้อผูกพันดังกล่าว สร้างความกังวลอย่างมากต่อเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจน้ำมันปาล์ม เนื่องจากการผลิตน้ำมันปาล์มของไทยยังมีจุดอ่อนทางด้านศักยภาพการผลิต หากเทียบกับผู้ผลิตรายใหญ่อย่างเช่น อินโดนีเซีย และมาเลเซีย กล่าวคือ
• การเพาะปลูกปาล์มน้ำมันของไทยยังคงได้ปริมาณผลผลิตค่อนข้างต่ำ ประมาณ 14.47 ตัน/เฮกเตอร์ ในขณะที่อินโดนีเซียและมาเลเซีย ได้ผลผลิต ประมาณ 16.76 และ 21.90 ตัน/เฮกเตอร์
• อัตราการให้น้ำมันของผลผลิตปาล์มน้ำมันของไทยประมาณร้อยละ 15.7 ในขณะที่อินโดนีเซียและมาเลเซีย มีอัตราที่สูงถึงร้อยละ 22 และ 19.4 ตามลำดับ
สาเหตุสำคัญที่ทำให้การผลิตปาล์มน้ำมันของประเทศผู้ผลิตทั้งสองมีศักยภาพการผลิตที่สูงกว่าไทย มาจากทั้งสองมีพื้นที่การเพาะปลูกปาล์มที่มี ขนาดใหญ่ มีการปลูกปาล์มน้ำมันแบบครบวงจรทำให้สามารถวางแผนการผลิตและควบคุมต้นทุนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาเลเซีย ซึ่งมีศักยภาพการผลิตสูงสุด การเพาะปลูกปาล์มน้ำมันส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ของเกษตรกรรายใหญ่ (ร้อยละ 60) และผู้ผลิตปาล์มในรูปแบบสหกรณ์หรือนิคมกว่าร้อยละ 30.5 ส่วนที่เหลือเพียงร้อยละ 9.5 เป็นเกษตรกรรายย่อย ที่ มีพื้นที่การเพาะปลูกประมาณ 250 ไร่ต่อราย ซึ่งแตกต่างกับเกษตรกรรายย่อยของไทยที่มีจำนวนมากถึงร้อยละ 60 และมีพื้นที่เพาะปลูกไม่เกินรายละ 25 ไร่ นอกจากนี้ โรงสกัดและบีบน้ำมัน ของมาเลเซียและอินโดนีเซีย เป็นโรงงานขนาดใหญ่ที่มีกำลังการผลิตมาก และยังมีการสกัดน้ำมันแยกระหว่างเนื้อปาล์มและเนื้อในเมล็ดปาล์ม (palm Kernel) ซึ่งจะช่วยให้อัตราการให้น้ำมันมีมากขึ้นกว่าการสกัดรวมผลปาล์มน้ำมันทั้งผล
ด้านผู้ผลิต
เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันที่เป็นลูกไร่ของโรงสกัดและโรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าเกษตรกรผู้ปลูกน้ำมันปาล์มอิสระ เนื่องจากผลปาล์มน้ำมันที่ผลิตได้มีตลาดรองรับที่แน่นอน
โรงสกัดน้ำมันปาล์มดิบ อาจเผชิญการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรงจากน้ำมันปาล์มดิบที่นำเข้าจากมาเลเซียและอินโดนีเซีย ทั้งนี้ โรงสกัดที่อาจได้รับผลกระทบมาก ได้แก่ โรงสกัดที่ไม่ได้เป็นบริษัทเครือข่าย หรือไม่ได้ เป็นพันธมิตรกับโรงงานกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโรงสกัดรายย่อยขนาดเล็กที่มีกำลังการผลิตไม่มาก และมีต้นทุนในการสกัดสูงกว่าโรงสกัดขนาดใหญ่
โรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ อาจมีทางเลือกมากขึ้น ในการจัดหาวัตถุดิบในการผลิตที่มีราคาถูกจากการนำเข้า ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของน้ำมันปาล์มดิบ หรือน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ เพื่อใช้ผลิตน้ำมันปาล์มสำหรับการบริโภค และการใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ ขณะเดียวกัน อาจเผชิญการแข่งขันกับน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์นำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อจำหน่ายให้กับผู้บริโภคหรืออุตสาหกรรมต่อเนื่องโดยตรง ทั้งนี้ น้ำมันปาล์มบรรจุขวดที่ใช้บริโภคในภาคครัวเรือนอาจจะได้รับผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ที่นำเข้ามาจากมาเลเซียและอินโดนีเซียมีสีค่อนข้างแดงและขุ่น แต่ผู้บริโภคไทย นิยมเลือกใช้น้ำมันปาล์มที่มีสีเหลืองใส
ด้านผู้บริโภค
อุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้น้ำมันปาล์ม อุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้น้ำมันปาล์มในประเทศ ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหาร รวมถึงการผลิตไบโอดีเซล จะได้รับประโยชน์จากการนำเข้าน้ำมันปาล์ม รวมถึงการปรับตัวเพื่อเพิ่มศักยภาพใน การผลิตของโรงสกัดและโรงกลั่นน้ำมันปาล์มในประเทศ ซึ่งจะช่วยทำให้ต้นทุนการใช้น้ำมันปาล์มในอุตสาหกรรมลดลง
ผู้บริโภคในประเทศ จะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มราคาน้ำมันปาล์มในประเทศที่ลดลง จากการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการในและต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้น้ำมันปาล์มบรรจุขวด สินค้าที่ใช้น้ำมันปาล์ม รวมถึงไบโอดีเซล มีราคาลดลง นอกจากนี้ กรณีที่ผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ การนำเข้าจะเป็นทางหนึ่งที่ช่วยลดปัญหาน้ำมันปาล์มขาดแคลนในประเทศได้
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบภายหลังจากการก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น จะมีผลกระทบมากหรือน้อยเพียง ใดนั้น ขึ้นอยู่กับตัวแปรสำคัญต่างๆ ได้แก่ แนวโน้มความต้องการบริโภคน้ำมันปาล์มในตลาดโลก สถานการณ์การผลิตน้ำมันปาล์มของประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ อย่างมาเลเซียและอินโดนีเซีย ทั้งนี้ หากความต้องการบริโภคมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หรือปริมาณผลผลิตน้ำมันปาล์มที่ออกสู่ตลาดโลกน้อยลง จะผลักดันให้ราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้ส่วนต่างราคา น้ำมันปาล์มในประเทศและต่างประเทศลดลง หรือใกล้เคียงกัน จนส่งผลให้ความต้องการนำเข้าน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศลดลง
แนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการเพื่อรองรับผลกระทบจาก AEC
จากผลกระทบที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้น ทำให้เกษตรกร และผู้ประกอบการในธุรกิจน้ำมันปาล์มจำเป็นต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตน้ำมันปาล์ม ของไทยทั้งระบบ ตั้งแต่ในระดับเกษตรกรผู้ปลูก โรงสกัดและโรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ โดยเน้นการลดต้นทุน และเพิ่มปริมาณผลผลิตที่ได้จากการผลิต เพื่อให้ราคาจำหน่ายสามารถแข่งขันได้กับน้ำมันปาล์มน้ำเข้า ดังนี้
• เกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม ควรให้ความสำคัญกับการปรับปรุงการเพาะปลูก เพื่อให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูง เช่น การเลือกพื้นที่เพาะปลูกที่เหมาะสมทั้งทาง ด้านภูมิประเทศ (ใกล้แหล่งน้ำ สภาพดินร่วนปนดินเหนียว) และสภาพภูมิอากาศ (อากาศชุ่มชื้น มีฝนตกชุก มีช่วงฤดูแล้งสั้น มีอุณหภูมิประมาณ 25-30 องศาเซลเซียส) รวมถึงการคัดเลือกพันธุ์ ในการเพาะปลูกที่มีอัตราการให้น้ำมันสูง การศึกษาระยะเวลาในการใส่ปุ๋ยและประเภทของปุ๋ยที่ใส่ในแต่ละช่วงอายุของต้นปาล์ม การตัดแต่งทางใบ ตลอดจน การวางแผนเพาะปลูกปาล์มน้ำมันทดแทนต้นเก่าที่มีอายุมากซึ่งจะให้ปริมาณผลผลิตลดลง
• โรงสกัดน้ำมันปาล์มดิบ ควรเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพในการรวบรวมวัตถุดิบ (ผลปาล์มน้ำมัน) และการสกัดน้ำมันปาล์มเพื่อให้อัตราการให้น้ำมัน เพิ่มขึ้น โดยอาจพัฒนาการสกัดน้ำมันแยกระหว่างเนื้อในปาล์มและเนื้อปาล์ม สำหรับโรงสกัดที่มีขนาดใหญ่อาจหาแนวทางในการลดต้นทุนการผลิต โดยการนำของเศษปาล์มที่เหลือ จากกระบวนการสกัด (by product) เช่น กะลาปาล์ม ทะลายปาล์ม เส้นใยปาล์ม ไปผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ในโรงงาน อีกทั้งยังเป็นการลดต้นทุนในการกำจัดเศษวัสดุเหลือใช้ของปาล์มอีกด้วย
• โรงกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ นอกจากที่ผู้ประกอบการควรจะเพิ่มประสิทธิภาพในการกลั่นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์แล้ว ควรเน้นการบริหารจัดด้านการขนส่งสินค้า (น้ำมันปาล์ม) ไปยังคลังสินค้าของผู้ค้าปลีกรายใหญ่และโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำมันปาล์มในการผลิต เพื่อลดต้นทุนในการขนส่ง ซึ่งปัจจุบันนับว่ามีต้นทุนในส่วนนี้สูงถึงประมาณ ร้อยละ 20
นอกจากนี้ กลุ่มผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องทั้งโรงกลั่น โรงสกัด รวมถึงสมาคมและสหกรณ์การเกษตรในระดับท้องถิ่นต่างๆ ควรติดตามสถานการณ์การผลิต การจำหน่ายและราคา และความต้องการน้ำมันปาล์มในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนการผลิต การตั้งราคา และการกระจายสินค้าไปสู่ตลาด รวมถึงการศึกษา และทำความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการที่สามารถช่วยบรรเทา/ลดผลกระทบจากการเปิดการค้าเสรีการค้าสินค้าเกษตร คือ มาตรการป้องกันการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard Measure: SG) ตามข้อผูกพันไว้กับ WTO ซึ่งเปิดโอกาสให้ประเทศผู้นำเข้า (ที่ได้รับผลกระทบ) สามารถใช้มาตรการดังกล่าวเพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศที่ได้รับความเสียหาย หรือมีแนวโน้มที่จะได้ รับความเสียหายจากการนำเข้าที่เพิ่มมากขึ้นมากกว่าปกติ









ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น